ร่วมพิธีถวายผ้าบังสกุลให้กับบรรพบุรุษทุกภพ ทุกชาติ มนุษย์ เทวดา นรก ณ เมืองสังกัสสะ 19-28พย.59 เหลือ 2 คู่สุดท้าย

14256811_1258979164134228_766884756_n

เมือง”สังกัสสะ” หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จลงมาจากเทวโลก หลังจากจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาแล้ว วันที่เสด็จลงคือวันออกพรรษาเมืองที่เสด็จลงคือเมือง สังกัสนคร

ณ สถานที่แห่งนี้ รอยพระบาทแรกที่พระองค์ทรงเสด็จลงมาเรียกว่า ‘อจลเจดีย์’ เรียกอย่างไทยเราก็ว่า ‘รอยพระพุทธบาท’ ตามตำนานว่าที่นี่เป็นที่แห่งหนึ่งซึ่งมีรอยพระพุทธบาทปรากฎอยู่ ณ สถานที่สำคัญแห่งนี้พระอินทร์ได้เนรมิตบันได ๓ บันไดเป็นที่เสด็จลง คือบันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้วมณีอยู่ตรงกลางสำหรับพระพุทธเจ้า หัวบันไดแต่ละอันพาดที่เขาสิเนรุ  เชิงบันไดทอดลงยังประตูเมืองสังกัสนคร หมู่คนทางเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าอย่างที่เห็นในภาพ จึงคือหมู่เทพที่ตามส่งเสด็จ เบื้องซ้ายผู้ถือฉัตรกั้นถวายพระพุทธเจ้าคือท้าวมหาพรหม ผู้อุ้มบาตรนำเสด็จพระพุทธเจ้าคือพระอินทร์ ผู้ถือพิณบรรเลงถัดมาคือปัญจสิงขรคนธรรพ์เทพบุตร ถัดมาเบื้องขวาคือมาตุลีเทพบุตร ซึ่งถือพานดอกไม้ทิพย์โปรยปรายนำทางเสด็จพุทธดำเนิน

13327491_549582515213856_5104070101337122634_n

คนผู้นับถือศาสนาพุทธในเมืองไทย ถือกันว่าวันออกพรรษาเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง จึงนิยมทำ
บุญตักบาตรกันในวันนี้ เพราะถือว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกการตัก
บาตรนี้ว่า ‘ตักบาตรเทโว’ ย่อมาจากเทโวโรหณะ แปลว่า ตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันพระพุทธเจ้าเสด็จ
ลงจากเทวโลกนั่นเอง

13339688_549583475213760_5683455210602343916_n-2

หมายเหตุ ภาพและข้อมูลจาก สมุดภาพพระพุทธประวัติฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา โดย ครูเหม เวชกร ภาพที่ ๖๔ ถึงวันมหาปวารณา เสด็จลงจากดาวดึงส์โดยบันไดแก้ว บันไดทอง บันไดเงินที่มา http://www.84000.org/tipitaka/picture/f64.html

สำหรับทริปแสวงบุญ ทีมงานฟาฟา ทราเวล ร่วมนำพาผู้แสวงบุญมากราบนมัสการ รอยพระพุทธบาท ณ สถานที่สำคัญแห่งนี้ พร้อมกันนี้ทุกท่านที่ร่วมเดินทางจะได้ร่วมทำบุญมหากุศล และอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่บรรพบุรุษทุกภพ ทุกชาติ ทั้งที่อยู่บนสวรรค์ ภูมิมนุษย์ หรือในนรก ณ จุดที่พระพุทธองค์ทรงเปิดสามโลกธาตุ ผู้ร่วมแสวงบุญร่วมกันถวายผ้าบังสกุล ณ สถานที่แห่งนี้ กับคณะสงฆ์ที่ร่วมเดินทางแสวงบุญ ถือได้ว่าเป็นมหากุศล ที่นับว่าหาได้ยากยิ่ง ฟาฟา ทราเวล จึงขอเรียนเชิญท่านที่สนใจร่วมเดินทางแสวงบุญ ไปกับเรา

ระหว่างวันที่ 19-28 พฤศจิกายน 2559

ใกล้ปิดกรุ๊ปแล้วเหลือรับได้เพียง1-2 ท่านสุดท้าย

สังกัสสนคร ** ข้อมูลจากเว็บวัดไทยเชตวันฯ

เป็นที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์สวรรค์ หลังจากที่เสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดา ด้วยพระอภิธรรม เจ็ดคัมภีร์ เป็นเวลา ๓ เดือน ต่อเมื่อวันมหาปวารณาจึงเสด็จลงสู่มนุสสโลก ในที่ใกล้กับประตูเมืองสังกัสสะ ท่ามกลางเทพ พรหม แวดล้อมเป็นบริวาร และได้ตรัสเทศนาในปโรสหัสสชาดกอีกด้วย

สังกัสสะ เคยเป็นเมืองใหญ่ ฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของพระพุทธศาสนาในอินเดีย เมื่อถึงคราวเสื่อมสูญ เมืองจึงกลายเป็นป่าในที่สุด ยิ่งเมื่อประมาณ พ.ศ.๑๗๒๖ (ค.ศ.๑๑๘๓) พวกพราหมณ์พากันยุยงราชาไชยจันทร์ แห่งเมืองกาเนาช์ว่า พระพุทธศาสนาเป็นภัยต่อฮินดู ขืนปล่อยไว้บ้านเมืองจะต้องวิปริต ราชาไชยจันทร์จึงกรีฑาทัพมาทำลายล้างเสียราบเรียบ สังกัสสะจึงกลายเป็นทุ่งโล่ง

หลวงจีนถังซัมจั๋ง เดินทางมาที่นี้ ได้พบเสาหินพระเจ้าอโศก สูงประมาณ ๗๐ ฟุต อยู่ข้างพระวิหาร มีกำแพงยาว ๕๐ ฟุต เป็นที่พระบรมศาสดาเสด็จเดินจงกรม มีรูปเครื่องหมายดอกบัวอยู่บนกำแพง อย่างเดียวกับที่เมืองพุทธคยา

ท่านเซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม (Sir Alexander Cunningham) ได้ศึกษาจากบันทึกจดหมายเหตุของหลวงจีนทั้งสองท่าน ที่เดินทางมาสืบพระศาสนาในอินเดียนั้น จึงได้สำรวจโบราณสถานสังกัสสะ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๕ (ค.ศ.๑๘๔๒) ได้พบซากวิหาร กำแพงพระพุทธปฏิมากร และเสาหินพระเจ้าอโศก ซึ่งส่วนบนเป็นรูปช้าง ได้ถูกทำลายลงเหลือแต่คอเท่านั้น

ปัจจุบันสังกัสสนคร ยังเหลือเป็นโบราณสถานที่รัฐบาลดูแลรักษาอยู่ ตั้งอยู่ในเขตปกครองของ อำเภอฟาร์รุกขบาด รัฐอุตตรประเทศ อยู่ระหว่างเมืองลักเนาว์ กับเมืองอัคระ ห่างจากเมืองกานปุร์ ไป ๙๗ ไมล์ มีเนินดินเหมือนสถูปเก่ากับเสาศิลาจารึกของจักรพรรดิอโศกอยู่ที่นั้น ผู้มีความสนใจใฝ่รู้ ก็สามารถเดินทางไปสู่สถานนี้ได้ด้วยความสะดวก

ขณะที่พระบรมศาสดาทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์อยู่ที่กรุงสาวัตถีนั้น ทรงดำริว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต หลังจากทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว จักอยู่จำพรรษา ณ ที่ใด ทรงทราบว่าจำพรรษาในดาวดึงส์พิภพ เพื่อตรัสแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา

เมื่อพระพุทธองค์แสดงยมกปาฏิหาริย์เสร็จแล้ว ได้เสด็จขึ้นไปยังดาวดึงส์พิภพ ท้าวสักกะเทวราชทอดพระเนตรเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จมาต้อนรับพร้อมด้วยหมู่เทวดาทั้งหลาย พวกมหาชนที่ติดตามมา ได้ทราบจากพระอนุรุทธะว่า พระพุทธองค์เสด็จขึ้นไปยังภพดาวดึงส์ และจักประทับอยู่ตลอดพรรษา มหาชนจึงพากันตั้งที่พำนักคอยอยู่ ณ ที่นั้น พระบรมศาสดาได้ตรัสสั่งพระโมคคัลลานะไว้ก่อนว่า เธอพึงแสดงธรรมแก่บริษัทนั้น จุลอนาถบิณฑิกะจักให้เครื่องอุปโภคบริโภคแก่ชนเหล่านั้นทุกวันเวลาทั้ง เช้าเย็น ตลอดไตรมาส

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ควงไม้ปาริฉัตตกะ ท่ามกลางเทวบริษัท พระพุทธมารดาเสด็จลงมาจากวิมานชั้นดุสิต

พระบรมศาสดาตรัสแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ คือ ธัมมสังคณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก และปัฏฐาน ทรงเริ่มตั้งพระอภิธรรมว่า กุสลา ธมฺมา, อกุสลา ธมฺมา, อพฺยากตา ธมฺมา ดังนี้เป็นต้น

พระพุทธองค์ทรงแสดงพระอภิธรรม โปรดพระพุทธมารดา โดยนัยนี้เรื่อยไปตลอดพรรษา ในเวลาบิณฑบาต พระพุทธองค์ทรงเนรมิตพุทธนิรมิต ทรงอธิษฐานว่าพระพุทธนิรมิต จงแสดงธรรมชื่อนี้ ๆ จนกว่าเราจะกลับมา แล้วเสด็จไปป่าหิมพานต์ ทรงเคี้ยวไม้สีฟันชื่อนาคลดา บ้วนพระโอษฐ์ที่สระอโนดาต นำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีป ประทับนั่งกระทำภิตกิจในโรงทานกว้างใหญ่ พระสารีบุตรกระทำวัตรปฏิบัติแก่พระบรมศาสดาในที่นั้น

ครั้นเสร็จภัตกิจ รับสั่งกับพระสารีบุตรว่า “วันนี้เราภาษิตธรรมคัมภีร์นี้แก่พระพุทธมารดา เธอจงบอกธรรมนั้นแก่นิสิต ๕๐๐ ของเธอ” แล้วเสด็จกลับไปสู่เทวโลก ทรงแสดงธรรมต่อจากพระพุทธนิรมิตแสดง

ส่วนพระสารีบุตรกลับไปแสดงธรรมนั้นแก่ศิษย์ของท่านเช่นนี้ทุกวันตลอดไตรมาส ภิกษุนิสิต ๕๐๐ เหล่านั้น เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จอยู่ในเทวโลก ได้เป็นผู้ชำนาญในพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ในพรรษานั้นกว่าภิกษุทั้งปวง

ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ภิกษุเหล่านั้นเป็นค้างคาวอาศัยอยู่ที่เงื้อมผาแห่งหนึ่ง ได้ฟังพระเถระ ๒ รูป เดินจงกรมแล้วท่องพระอภิธรรมอยู่ ค้างคาวเหล่านั้นไม่รู้ว่าเหล่านี้ชื่อว่าขันธ์ เหล่านี้ชื่อธาตุ เพียงแต่ถือเอานิมิตในเสียงนั้นเป็นสำคัญ จุติจากอัตภาพนั้นเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จุติจากเทวโลกนั้นแล้ว บังเกิดในเรือนตระกูลของชาวกรุงสาวัตถี ได้เห็นพระพุทธองค์ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ มีความเลื่อมใส ขอบวชในสำนักของพระสารีบุตร ได้เป็นผู้ชำนาญในปกรณ์ ๗ ดังนี้

พระบรมศาสดาทรงแสดงพระอภิธรรมโดยทำนองนั้นตลอดไตรมาส ในกาลจบเทศนา การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่เทวดามากมาย พระพุทธมารดาได้ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล

ครั้นใกล้เวลาจะออกพรรษา บริษัททั้งหลายที่คอยเฝ้ารับเสด็จอยู่ตลอดเป็นเวลา ๓ เดือน ได้ขอให้พระโมคคัลลานะขึ้นไปกราบทูลถามวันเสด็จกลับลงมา กล่าวว่าพวกข้าพเจ้าทั้งหลายไม่เห็นพระบรมศาสดาแล้วจักไม่ไปจากที่นี้ พระโมคคัลลานะขึ้นไปกราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า “พระองค์จักเสด็จลงเมื่อใด พระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์รับสั่งถามถึงพระสารีบุตร ทรงทราบว่าอยู่ที่สังกัสสนคร จึงตรัสกับท่านพระโมคคัลลานะว่า ในวันที่ ๗ จากนี้ เราจักลงที่ประตูเมืองสังกัสสะ ในวันมหาปวารณา ผู้ใดใคร่จะพบเราก็จงไป ณ ที่นั้นเถิด

พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์ ณ ประตูเมืองสังกัสสะ ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงสาวัตถี ๓๐ โยชน์ ในวันมหาปวารณา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ อันเป็นพุทธกิจที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ทรงละ สถานที่เหยียบพระบาท ณ ประตูเมืองสังกัสสะ ชื่อว่า อจลเจติยสถาน

วันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากเทวโลก ท้าวสักกเทวราชรับสั่งให้วิสสุกรรมเทพบุตร เนรมิตบันไดแก้วมณีตรงกลาง สำหรับพระบรมศาสดา บันไดทองอยู่ด้านขวาสำหรับเหล่าเทวดา และบันไดเงินอยู่ด้านซ้ายสำหรับเหล่ามหาพรหม เมื่อพระพุทธองค์เสด็จลง ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกเทวราชทรงรับบาตร ท้าวสุยามเทวราช พัดด้วยวาลวีชนีอันเป็นทิพย์ ปัญจสิขเทพบุตรบรรเลงพิณ มาตลีเทพบุตรถือของหอมและดอกไม้ทิพย์นมัสการอยู่ ห้อมล้อมด้วยหมู่เทวดาและพรหม เสด็จลงที่เมืองสังกัสสะ

พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร เป็นผู้ถวายบังคมรับเสด็จก่อนผู้ใด พระอุบลวรรณาเถรี เข้ามาถวายบังคมต่อจากพระสารีบุตร จากนั้นบรรดามหาชนที่ตามมาคอยเฝ้ารอรับเสด็จ ณ ที่นั้น พระพุทธองค์ทรงดำริว่าชนเหล่านี้รู้กิตติศัพท์ของพระโมคคัลลานะในฐานะเป็นผู้เลิศทางฤทธิ์ รู้ว่าพระอนุรุทธะเป็นผู้เลิศทางทิพจักขุ รู้ว่าพระปุณณะเป็นผู้เลิศทางธรรมกถึก แต่บริษัทนี้มิได้รู้จักพระสารีบุตรว่าเลิศด้วยคุณอะไร จึงตรัสถามปัญหากับพระเถระ พระสารีบุตรแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ทั้งปัญหาของปุถุชน พระเสขะและพระอเสขะ

ในครั้งนั้น มหาชนจึงได้รู้จักพระสารีบุตรว่า เป็นผู้เลิศทางปัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สารีบุตรมิได้เป็นผู้มีปัญญาแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในอดีตก็เป็นผู้เลิศด้วยปัญญา แล้วตรัส ปโรสหัสสชาดก แก่มหาชน

โทร 089-1094455 หรือ Line: fafatravel

Loading